👉วันจันทร์ที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๔.oo น. กรมราชทัณฑ์ ร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดพิธีลงนามบันทึก “ความเข้าใจการพัฒนารูปแบบการดำเนินงานฝึกวิชาชีพนวดแผนไทยควบคู่ไปกับการพัฒนารูปแบบการให้บริการสุขภาพทางเลือก” โดยนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้มอบหมายให้นายไพฑูรย์ มงคลหัตถี ผู้ตรวจราชการกรม เป็นผู้แทนร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว กับนายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พร้อมด้วยนางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์กุลธนิต วนรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ดร.ภก.ปรีชา หนูทิม ผู้อำนวยการกองพัฒนายาแผนไทยและสมุนไพร ร่วมเป็นพยานในบันทึกความเข้าใจฯ ณ ห้องกระจก อาคารพิพิธภัณฑ์ ๓ พิพิธภัณฑ์ กรมราชทัณฑ์
✨️กรมราชทัณฑ์ มีภารกิจสำคัญในการฝึกวิชาชีพให้แก่ผู้ต้องขัง เพื่อให้มีทักษะและความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพสุจริตภายหลังพ้นโทษ และไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำอีก ซึ่งการฝึกวิชาชีพจะมุ่งเน้นให้ผู้ต้องขังได้เรียนรู้และฝึกฝนในสาขาอาชีพต่างๆ ที่มีความต้องการในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะการฝึกวิชาชีพอบรมนวดแผนไทย ซึ่งปัจจุบันการนวดแผนไทยกำลังได้รับความสนใจจากประชาชนมากขึ้น อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่สูงมาก จึงเป็นอาชีพที่เหมาะสมกับผู้ต้องขัง ในปัจจุบันนี้จึงได้ริเริ่มบูรณาการกับกองพัฒนายาแผนไทยและสมุนไพร เพื่อบูรณาการภารกิจระหว่างหน่วยงานในด้านการจัดให้มีสถานบริการทางการแพทย์ทางเลือกและการดำเนินงานฝึกวิชาชีพนวดแผนไทยของผู้ต้องขังเรือนจำจังหวัดนนทบุรี โดยใช้พื้นที่ของร้านหับเผย @ ริมน้ำนนท์ เป็นสถานที่นำร่องการบูรณาการภารกิจดังกล่าวเพื่อยกระดับการขับเคลื่อนนโยบาย 8 มิติ ยกกำลังสอง มิติที่ ๕ “นำร่องการศึกษาต้นแบบและสร้างความเป็นเลิศทางอาชีพ” สำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ต้องขังมีความรู้ในทักษะด้านการนวดแผนไทย การใช้สมุนไพรในการรักษาโรค และสามารถนำไปประกอบอาชีพภายหลังพ้นโทษได้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน สร้างการรับรู้ในด้านการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์แก่สังคม โดยเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้แสดงความรู้ และความชำนาญในทักษะการนวดแผนไทยของผู้ต้องขังให้สังคมได้รับรู้ และเกิดการยอมรับ อีกทั้ง เป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกรมราชทัณฑ์กับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการรักษาโดยแพทย์แผนไทย และการใช้สมุนไพรต่อไป