วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม 2567 นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายพัฒนา เป็นประธานในการประชุมผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้อำนวยการทัณฑสถาน เขต 2 ณ ทัณฑสถานเปิดทุ่งเบญจา จ.จันทบุรี โดยนายเผด็จ หริ่งรอด ผู้บัญชาการเรือนจำกลางชลบุรี เรือนจำประธานเขต 2 ได้จัดการประชุมเพื่อ รายงานผลการดำเนินงานและรับฟังนโยบายจาก นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะกำกับดูแลเรือนจำ/ทัณฑสถานเขต 2 ทั้งนี้ ผู้บัญชาการเรือนจำ /ผู้อำนวยการทัณฑสถาน ในเขต 2 เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียง
โดยนายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายพัฒนา ประธานการประชุมฯ ได้รับฟังรายงานผลการดำเนินงานและปัญหาที่เกิดขึ้นในภาพรวม โดยได้มอบนโยบายในการทำงานดังนี้
1.ถ่ายทอดนโยบายรัฐบาล ในโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยกำชับให้เรือนจำและทัณฑสถานดำเนินกิจกรรมสาธารณะต่างๆ อาทิ การปลูกป่า การขุดลอกคูคลอง การลอกท่อระบายน้ำ เก็บขยะพื้นที่ชายฝั่งทะเล รวมทั้งสร้างเรือนจำหรือหน่วยงานยุติธรรมสีเขียว Green Justice เพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นการสร้าง สีเขียว ทั้งทางกายภาพและมิติความคิดและจิตใจ
2. มุ่งเน้นการควบคุม ควบคู่ไปกับการพัฒนาพฤตินิสัย โดยผู้บัญชาการเรือนจำ/ผู้อำนวยการทัณฑสถานรวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ต้องเป็นผู้นำแห่งจิตวิญญาณ ในการปรับเปลี่ยนทัศนคติผู้ก้าวพลาด และสร้างการยอมรับให้ผู้ก้าวพลาดเหล่านี้สามารถออกไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมภายนอกได้อย่างปกติสุข
3. มุ่งเน้นการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ก้าวพลาดโดยใช้นโยบายขับเคลื่อน 8 มิติยกระดับสร้างความเปลี่ยนแปลง ของนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ โดยนโยบายดังกล่าวเป็นการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ก้าวพลาด ให้คิดดีทำดีเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่สังคม และได้รับการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งได้รับการแก้ไขฟื้นฟู สามารถไปประกอบอาชีพสุจริตได้ภายหลังพ้นโทษ
4.ในด้านการฝึกวิชาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยให้เน้นแผนการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยเป็นรายบุคคล โดยส่งเสริมให้ได้รับการฝึกวิชาชีพอันเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
5.มีนโยบายให้ผู้ก้าวพลาดได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง เนื่องจากข้อมูลในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า จำนวนผู้ต้องขังที่ยังไม่ผ่านการศึกษาภาคบังคับมีมากถึง 77% ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด โดยขณะนี้กรมราชทัณฑ์ ได้มีการหารือร่วมกับกรมส่งเสริมการเรียนรู้ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
6. มุ่งเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของ ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ เนื่องจากในปัจจุบันไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกท่านร่วมช่วยกันดูแลไม่ใช่เป็นหน้าที่ของใครเพียงคนใดคนหนึ่ง
7.ด้านศาสนบำบัด กำชับให้ประสานงานกับครูสถาบันพลังจิตตานุภาพใกล้เคียงในจังหวัด เพื่อให้เข้ามาอบรม แก้ไข ฟื้นฟู พัฒนาจิตใจผู้ก้าวพลาด โดยใช้ศาสนา มุ่งเน้นให้ผู้ก้าวพลาดสามารถเข้าถึงหลักธรรมได้ด้วยตนเอง
8.ด้านอาชีวบำบัดไม่มุ่งเน้นการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ต้องขังกลุ่มพิเศษ ทั้ง 4 กลุ่ม คือ 1. ผู้ต้องขังสูงอายุ 2.ผู้ต้องขังกลุ่มพิการ 3. ผู้ต้องขังหญิงตั้งครรภ์ และ 4. ผู้ต้องขังจิตเวช โดยมุ่งเน้นการบำบัดแก้ไขความบกพร่องทางด้านร่างกาย และจิตใจให้ดีขึ้น หรือรักษาระดับความบกพร่องให้อยู่ในระดับคงที่ผ่านการประยุกต์ใช้กิจกรรมในชีวิตประจำวันในการบำบัดและฝึกวิชาชีพและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ลดความตึงเครียดและสร้างสมาธิให้แก่ผู้ก้าวพลาดกลุ่มพิเศษ
9. เชิญชวนผู้บัญชาการเรือนจำ และผู้อำนวยการทัณฑสถาน สนับสนุนบุคลากรในสังกัด เข้ารับการฝึกอบรมครูฝึกราชทัณฑ์ ณ ประเทศอังกฤษ เพื่อนำความรู้ที่ได้รับกลับมาถ่ายทอดให้กับเจ้าหน้าที่ท่านอื่นเพื่อให้การปฏิบัติงานราชทัณฑ์เป็นไปอย่างมืออาชีพตามมาตรฐานสากล ต่อไป
10. ตามหนังสือสั่งการกรมฯ เรื่องการปรับเมนูอาหารของผู้ต้องขัง ในปีงบฯ 2567 หากเรือนจำ/ทัณฑสถานใด สามารถปรับได้ตามข้อสั่งการ หรือปรับไม่ได้ ให้รายงานกรมฯทราบ หากแต่ให้นำเอาข้อสั่งการในเรื่องการปรับปรุงเมนูอาหาร ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ปรับปรุง แก้ไข ตามข้อสั่งการกรมฯ ในปีงบประมาณ 2568 ต่อไป
ทั้งนี้ได้ขอขอบคุณและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่มุ่งมั่น ตั้งใจพัฒนางานราชทัณฑ์มาอย่างต่อเนื่อง และเป็นกำลังใจให้ปฏิบัติงานตามภารกิจของกรมราชทัณฑ์ ทั้งการควบคุมและการคืนคนดีสู่สังคมต่อไป